วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ขนมไทยในงานมงคล

ขนมไทยในงานมงคล
          
          
        ขนมไทยจัดเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ประชาชนจะทำขนมในงานเลี้ยง นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ งานมงคลและงานพิธีการ ประเทศไทย
ครั้งยังเป็นประเทศสยามได้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยโดยส่งเสริมการขายสินค้าซึ่งกันและกัน ตลอดจนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านอาหาร
การกินร่วมไปด้วย ต่อมาในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ได้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆอย่างกว้างขวางไทยได้รับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่าง ๆ มาดัด
แปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นและวัตถุดิบที่หาได้
          ขนมไทย เป็นเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยอย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีเพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนประณีตในการทำ ตั้งแต่วัตถุดิบ วิธีการ
ทำที่กลมกลืน พิถีพิถันในเรื่องรสชาติ สีสัน ความสวยงาม กลิ่นหอม รูปลักษณะชวนรับประทานตลอดจนกรรมวิธีการรับประทานขนมแต่ละชนิดซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะ
ของขนมชนิดนั้น ๆ
          ขนมไทยที่นิยมทำกันทุก ๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่าง ๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้น ๆ งาน
ศิริมงคลต่าง ๆเช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ นอกจากนี้คนไทยเรายังถือเคล็ดกันอยู่จึงใช้ขนมที่ขึ้นต้นด้วยทองเพื่อให้เกิดความเป็นมงคลตามชื่อ
ขนม




                 ขนมมงคล 9 อย่าง ได้แก่
ทองหยิบ
          มีลักษณะงดงามคล้ายดอกไม้สีทองต้องใช้ความสามารถและความพิถีพิถันเป็นอย่างมากในการจับกลีบให้มีความงดงามเหมือนกลีบดอกไม้เชื่อว่าหากนำขนมทองหยิบ
ไปใช้ประกอบพิธีมงคลต่างๆ หรือให้เป็นของขวัญแก่ใครแล้วจะทำให้เกิดความมั่งคั่งร่ำรวยหยิบจับการงานสิ่งใดก็จะร่ำรวยมีเงินมีทองสมดังชื่อ "ทองหยิบ"

 ทองหยอด
          ใช้ประกอบในพิธีมงคลทั้งหลายหรือมอบเป็นของขวัญในโอกาสสำคัญ ๆ แก่ผู้ใหญ่ที่เคารพรักหรือญาติสนิทมิตรสหายแทนคำอวยพรให้ร่ำรวยมีเงินมีทองใช้จ่ายอย่างไม่รู้
หมดสิ้น ทองหยอดเป็นขนมที่ท่านผู้หญิงวิชเยนทร์ ภรรยาเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ได้นำความรู้ที่มีมาแต่เดิมผสมผสานกับความรู้ท้องถิ่นปรุงแต่งอาหารขึ้นใหม่จนเป็นที่รู้จักคือ
ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทองนับเป็นขนมชั้นดีใช้ในงานมงคลต่าง ๆ

 ฝอยทอง
          มีลักษณะเป็นเส้นนิยมใช้กันในงานมงคลสมรสถือเคล็ดกันว่าห้ามตัดขนมให้สั้นต้องปล่อยให้เป็นเส้นยาวๆเพื่อที่คู่บ่าวสาวจะได้ครองชีวิตคู่และรักกันได้อย่างยืนยาว
ตลอดไป
 ขนมชั้น
          เป็นขนมไทยที่ถือเป็นขนมมงคลและจะต้องหยอดขนมชั้นให้ได้ 9 ชั้นเพราะคนไทยมีความเชื่อว่าเลข 9 เป็นเลขสิริมงคล หมายถึง ความเจริญก้าวหน้าและ ขนมชั้นก็
หมายถึงการได้เลื่อนชั้น เลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์ให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป
 ขนมทองเอก
          เป็นขนมอีกชนิดหนึ่งที่ต้องใช้ความพิถีพิถันเป็นอย่างยิ่งในทุกขั้นตอนการทำมีลักษณะที่สง่างามโดดเด่นกว่าขนมตระกูลทองชนิดอื่นๆ ตรงที่มีทองคำเปลวติดไว้ที่ด้าน
บนของขนมคำว่า "เอก" หมายความถึง การเป็นที่หนึ่งการใช้ขนมทองเอกประกอบพิธีมงคลสำคัญต่างๆ หรือใช้มอบเป็นของขวัญในงานฉลอง การเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งจึง
เปรียบเสมือนคำอวยพรให้เป็นที่หนึ่งด้วย
 ขนมเม็ดขนุน
          มีสีเหลืองทอง รูปร่างลักษณะคล้ายกับเม็ดขนุนข้างในมีไส้ทำด้วยถั่วเขียวบด มีความเชื่อกันว่าชื่อของขนมเม็ดขนุนจะเป็นสิริมงคลช่วยให้มีคนสนับสนุนหนุนเนื่องในการ
ดำเนินชีวิตและในหน้าที่การงานหรือกิจการต่างๆที่ได้กระทำอยู่
ขนมจ่ามงกุฎ
          เป็นขนมที่ทำยากมีขั้นตอนในการทำสลับซับซ้อนนิยมทำกันเพื่อใช้ประกอบพิธีการที่สำคัญจริงๆ คำว่า "จ่ามงกุฎ" หมายถึง การเป็นหัวหน้าสูงสุดแสดงถึงความมี
เกียรติยศสูงส่งนิยมใช้เป็นของขวัญในงานเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งถือเป็นการแสดงความยินดีและอวยพรให้มีความก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป
 ขนมถ้วยฟู
          ให้ความหมายอันเป็นสิริมงคลหมายถึง ความเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูนิยมใช้ประกอบในพิธีมงคลต่าง ๆ ทุกงานเคล็ดลับของการทำขนมถ้วยฟูให้มีกลิ่นหอมน่ารับประทานคือ
ใช้น้ำดอกไม้สดเป็นส่วนผสมและอบร่ำด้วยดอกมะลิสดในขั้นตอนสุดท้ายของการทำ
 ขนมเสน่ห์จันทน์
          "จันทน์" เป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งมีผลสุกสีเหลืองเปล่งปลั่งทั้งสวยงามและมีกลิ่นหอม ชวนให้หลงใหลคนโบราณจึงนำ ความมีเสน่ห์ของผลจันทน์มาประยุกต์ทำเป็นขนมและ
ได้นำ "ผลจันทน์ป่น" มาเป็นส่วนผสมทำให้มีกลิ่นหอมเหมือนผลจันทน์ให้ชื่อว่า "ขนมเสน่ห์จันทน์" โดยเชื่อว่าจะทำให้มีเสน่ห์คนรักคนหลง ขนมเสน่ห์จันทน์จึงถูกนำมาใช้
ประกอบในงาน พิธีมงคลสมรสนอกจากขนมมงคล 9 อย่างนี้แล้วยังมีขนมอันชื่อเป็นมงคลและมีความหมายไปในทางที่ดีเช่นกัน อาทิ ขนมกงหรือขนมกงเกวียน ขนมสามเกลอ
ขนมโพรงแสม เป็นต้น

วีธีทำทองหยิบ

         

วิธีการทำทองหยิบ

     วัตถุดิบ

          1. ไข่แดงของไข่ไก่ 3 ฟอง

        2. ไข่แดงของไข่เป็ด 3 ฟอง
        3. แป้งข้าวจ้าว 1/2 ช้อนโต๊ะ
        4. แป้งมัน 1 ช้อนชา
        5. แป้งท้าวยายม่อม 1 ช้อนชา
        6. น้ำเปล่า 400 มล.
        7. กลิ่นมะลิ 1/2 ช้อนชา
        8. น้ำตาลทราย 600 ก.
        9. ใบเตย 1 ใบ
        10. เทียนอบ 1 ชิ้น
        11. น้ำเชื่อม 1 ถ้วยใหญ่ (700 มล.)

    *
 ส่วนผสมสำหรับ 3 - 4 ที่
เวลาในการทำประมาณ 30 นาที


วิธีการทำ
   1. นำน้ำเปล่า น้ำตาลทราย ใบเตย กลิ่นมะลิ ลงต้มรวมกันในกระทะทองเหลือง ใช้ไฟแรงและห้ามคนโดยเด็ดขาด เพราะถ้ามีคนโดนจะทำให้น้ำตาลตกผลึก
  2. นำแป้งทั้ง 3 ชนิดผสมรวมกัน นำไปร่อนให้ละเอียดด้วยกระชอนตาถี่ พักไว้
  3. นำไข่แดงทั้งหมดตีให้ขึ้นฟูประมาณ 5 นาที จากนั้นเติมแป้งลงในไข่ไก่และผสมให้เข้ากัน
  4. ตักใบเตยออก ปิดแก๊สให้น้ำเชื่อมนึ่ง ใช้ช้อนตักส่วนผสมหยอดลงในกระทะ ระวังอย่าให้ติดกัน จากนั้นเปิดไฟกลางให้ขนมสุกทั้งสองด้าน
  5. ตักขึ้นพักไว้ให้เย็นในถ้วยน้ำเชื่อม ช้อนขนมขึ้นมาแล้วจับจีบให้สวยงามและวางใส่ถ้วย จากนั้นจุดเทียนให้มีควันแล้วจึงดับไฟอบพร้อมกับทองหยิบ ปิดฝาอบรวมกันนาน 10 นาที เป็นอันเสร็จเรียบร้อย พร้อมเสิร์ฟ
เครดิต   http://www.youtube.com/watch?v=Gx3gcrKvEhM                                                                                           http://www.foodtravel.tv/recfoodShow_Detail.aspx?viewId=906


วีธีทำทองหยอด

วีธีทำทองหยอด
ส่วนผสม
  • ไข่เป็ด 20 ฟอง
  • แป้งข้าวเจ้า10 ถ้วย
  • น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง
  • น้ำลอยดอกไม้ 1 1/2 ถ้วยตวง
  • กระทะทองเหลือง
วิธีทำ
  1. ทำการแยกไข่แดงและไข่ขาวออกจากกัน ส่วนที่ต้องการคือไข่แดง ส่วนไข่ขาวเก็บไว้ไปประกอบอาหารอย่างอื่น
  2. นำไข่แดงวางบนผ้าขาวบาง แล้วบีบไข่แดงลงไปในชามผสมเพื่อกรองเยื่อไข่แดงให้ไข่เนียนยิ่งขึ้น ตีไข่แดงให้ขึ้นฟูแล้วใส่แป้งข้าวเจ้าลงไปตีอีกครั้งให้เข้ากัน
  3. ผสมน้ำลอยดอกไม้และน้ำตาลทราย ตั้งไฟแรงจนน้ำตาลเดือดพร้อมกับเคี่ยวใช้เวลาประมาณ 20 นาที จนกลายเป็นน้ำเชื่อมข้น
  4. เสร็จแล้วเทส่วนน้ำเชื่อมแยกไว้ในอ่างสำหรับแช่ทองหยอด และส่วนอีกส่วนให้ตั้งไฟไว้สำหรับหยอดทองหยอด
  5. ต้มน้ำเชื่อมให้เดือดฟูตลอด ใช้ปลายช้อนแกงตักแป้งขึ้นมา กะปริมาณให้พอเหมาะ ใช้นิ้งโป้งดันแป้งลงไปในกระทะ
  6. ขนมลอยขึ้นมาแสดงว่าสุกแล้ว ใช้กระชอนตักขนมขึ้นมาแล้วนำมาพักไว้ในชามน้ำเชื่อมที่แยกไว้ จากนั้นก็ตักขึ้นมาใส่ห่อขนมที่เตรียมไว้ได้เลยค่ะ

วีธีทำฝอยทอง

วีธีทำฝอยทอง

อุปกรณ์
        - กระทะทองเหลือง ชามผสม กระชอน เทียนหอม

     วัตถุดิบ
        1. ไข่แดงของไข่เป็ด 3 ฟอง
        2. ไข่แดงของไข่ไก่ 2 ฟอง
        3. กลิ่นดอกมะลิ ½ ช้อนชา
        4. ใบเตย 1 ใบ
        5. น้ำตาลทราย 600 ก.
        6. น้ำเปล่า 400 มล.
        7. เทียนอบ 1 ชิ้น

       * ส่วนผสมสำหรับ 2 - 3 ที่

    เวลาในการทำประมาณ 30 นาที


วิธีการทำ
    1. นำน้ำเปล่า น้ำตาลทราย ใบเตย กลิ่นมะลิ ลงต้มในกระทะทองเหลือง เปิดไฟแรง ห้ามคนเด็ดขาดไม่อย่างนั้นน้ำตาลจะตกผลึก
    2. ตีไข่ไก่และไข่เป็ดให้เข้ากัน นำไปกรองด้วยกระชอนตาถี่ จากนั้นตักไข่ใส่กรวยสำหรับทำฝอยทอง
    3. ตักใบเตยออก และหยอดไข่ให้เป็นสาย วนให้รอบกระทะทองเหลืองประมาณ 20 - 30 รอบ ต่อ 1 ชิ้น
    4. ใช้ไม้ปลายแหลม ค่อยๆช้อนฝอยทองขึ้นมาให้เป็นแผ่น วางพักไว้บนตะแกรง 30 นาที
    5. จุดเทียนหอมให้มีควันขึ้นมา แล้วจึงดับไฟ นำเทียนหอมและขนมฝอยทอง อบรวมกันด้วยภาชนะปิด 10 นาที                                       ก็จะได้ฝอยทองหอมๆไว้รับประทานแล้วค่ะ


         
  
เครดิต http://www.youtube.com/watch?v=S20VE6-ORSc                                                        http://www.foodtravel.tv/recfoodShow_Detail.aspx?viewId=905

วีธีทำขนมชั้น

วิธีทำขนมชั้น

ส่วนผสม
• แป้งมัน 200 กรัม (2+1/4 ถต)
• แป้งข้าวจ้าว 25 กรัม (1/3 ถต)
• แป้งท้าว 25 กรัม (2+1/2 ชต)
• น้ำตาลทราย 400 กรัม (2 ถต)
• กะทิข้น 750 กรัม (3 ถต)
• น้ำสีต่างๆที่จะใช้ผสมในแป้ง 50 กรัม (50 มล)
เกลือนิดหน่อย
ปล. ของเหลวในสูตร (กะทิ + น้ำสีต่างๆ) รวมกันต้องไม่เกิน 800 กรัม
วิธีทำ
• แบ่งกะทิออกมา 200 กรัม ใส่น้ำตาลแล้วนำไปตัั้งไฟกลางให้น้ำตาลละลายจนหมด พอเดือดปิดไฟยกลงพักไว้
• นำแป้งทั้งหมดใส่ชามผสม ค่อยๆใส่น้ำกะทิส่วนที่เหลือ ยังไม่ต้องใส่หมด ใส่พอนวดแป้งได้ และนวดแป้งไปสัก 10-15 นาที
• เมื่อนวดแป้งได้ที่ให้เอาน้ำเชื่อมกะทิที่ทำไว้ค่อยๆเทใส่เพื่อคลายแป้ง ใส่จนหมด แล้วใส่กะทิที่เหลือลงไปคนให้แป้งเข้ากันดี
• นำแป้งไปกรองเอาเศษแป้งที่ละลายไม่หมดออก
• จากนั้นแบ่งแป้งเพื่อใส่สี ถ้าจะทำสองสี ให้แบ่งแป้งเป็นสองส่วนเท่าๆกัน และให้ใส่น้ำสีต่างๆ มีน้ำหนักเท่ากันทั้งสองส่วน (ตามสูตรน้ำสีให้ใส่ได้ทั้งหมด 50 กรัม ถ้าทำสองสีก็หารสอง ดังนั้นแต่ละสีใส่ได้สีละ 25 กรัมต่อแป้งแต่ละส่วน)
• ถ้าจะทำสามสี ก็ต้องแบ่งแป้งเป็นสามส่วนเท่าๆกัน และน้ำสีที่จะใส่ก็ต้องหารสามนะคะ ทำกี่สีแป้งและน้ำสีที่ใส่ต้องหารตามจำนวนสี เพราะถ้าใส่เกินจากที่กำหนดแป้งจะเหลวค่ะ
• ถ้าจะทำส่วนสีใสแบบใส่น้ำกะทิ อย่าหักออกจากกะทิต้นสูตร (750 กรัม) ให้เอากะทิส่วนใหม่มาใส่โดยที่คำนวนน้ำหนักตามสีที่จะใส่
• ผสมแป้งกับสีให้เข้ากัน
• ใส่น้ำในรังถึงนำไปตั้งไฟให้เดือด และนำพิมพ์ขนมไปนึ่งให้ร้อนก่อนที่จะเทแป้ง เพื่อกันไม่ให้แป้งติดพิมพ์ จะได้แกะออกจากพิมพ์ได้ง่าย
• เมื่อพิมพ์ร้อนแล้วให้เทแป้งลงในพิมพ์หนาบางตามชอบ แล้วนึ่งประมาณ 3 นาที
• พอชั้นแรกสุก ให้เทแป้งชั้นที่สองลงไป แล้วนึ่งต่อไปอีก 3 นาที แต่ละชั้นที่เทให้นึ่งประมาณ 3 นาทีทุกชั้น ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆจนเต็มพิมพ์
• เมื่อนึ่งเสร็จแล้ว ให้เอาขนมออกมาพักให้เย็น แล้วค่อยเอาออกจากพิมพ์
หมายเหตุ
• เวลาจะเทแป้งทุกครั้ง ให้คนแป้งให้ละลายดีก่อนเท
• สูตรนี้ถ้าจะทำหลายสี แนะนำว่าให้ใช้สีผสมอาหารแทนสีธรรมชาติ เพราะสีจะสดกว่าและเห็นชั้นสีดีกว่า เพราะถ้าเป็นสีธรรมชาติ ยิ่งทำหลายสี จำนวนน้ำสีที่จะใส่ลงไปในแป้งจะลดน้อยลงไปตามสัดส่วน ทำให้สีธรรมชาติเจือจางมาก
• ถ้าใครไม่อยากยุ่งยาก แนะนำให้ทำแค่สองสีพอ
• ถ้าต้องการสีใส ให้ใส่น้ำเปล่าหรือกะทิลงในแป้งแทนสีต่างๆ
• สูตรนี้ลอกออกเป็นชั้นๆได้
• สูตรนี้นำมาพับดอกกุหลาบได้เช่นกัน
• สูตรนี้แป้งเหนียวนิ่มอร่อย แช่เย็นไว้เอาออกมาก็ยังนิ่ม
• ใครที่ไม่ชอบนวดแป้ง สูตรนี้คงไม่เหมาะ ให้หาสูตรอื่นที่ไม่ต้องนวดดู
๐ เรื่องเวลานึ่งว่าควรจะเป็นกี่นาทีนั้น ขึ้นอยู่กับความแรงของไฟ ขนาดพิมพ์และความหนาของการเทในแต่ละชั้น ถ้าเป็นพิมพ์ขนาดเล็ก ก็ใช้เวลาแค่ 1-2 นาทีก็สุก พิมพ์ขนาดกลางๆแบบของดิฉัน ก็ประมาณ 3 นาที ถ้าพิมพ์ใหญ่ๆและเทหนาก็อาจจะต้องเพิ่มเวลา ให้สังเกตุเอาค่ะ ถ้าเอานิ้วแตะๆแล้วแป้งตึงตัวแล้วก็เทชั้นต่อไปได้
๐ ทุกครั้งที่เปิดฝา ให้รีบเปิดเร็วๆกันน้ำหยด แล้วก็ให้เอาผ้าเช็ดหยดน้ำใต้ฝาทุกครั้ง
เครดิต 
คุณชำนาญ

วิธีทำขนมทองเอก

วิธีทำขนมทองเอก




ส่วนผสมทองเอก (ขนมไทย)

1. แป้งสาลี (บัวแดง) 1/2 ถ้วย
2. ไข่แดงไข่ไก่ 6 ฟอง
3. น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย
4. กะทิ (กะทิกล่อง 3/4 ถ้วย + น้ำ 1 ถ้วย) 1 ถ้วย

วิธีทำทองเอก (ขนมไทย)

1. อ่างใส่แป้งสาลี น้ำตาล กะทิ 1/2 ส่วน ค่อยๆ ใส่ ใช้พายยางคนให้เข้ากัน ให้น้ำตาลละลายใส่ไข่แดงผสมกะทิ 1/2ส่วนที่เหลือ คนให้เข้ากัน กรองด้วยผ้าข้าวบางเทใส่กะทะทอง คนก่อนขึ้นตั้งไฟทุกครั้ง (ส่วนผสมนอนก้น) ใช้ไฟอ่อนที่สุด กวนช้าๆ เป็นวงกลม พอส่วนผสมเริ่มข้นขึ้น กวนแบบชักขึ้นลงช้าๆ (ไม่กระชาก) 
2. การกวนขนม – ใช้มือแต่ข้างกะทะทองเพื่อตรวจดูอุณหภูมิ ถ้าร้อนเกินมือจับได้ ยกลงวางบนถาดที่มีผ้าเปียกน้ำ กวนขนมต่อไป จนรู้สึกว่ากะทะเริ่มเย็นตัวลง ยกขึ้นตั้งไฟใหม่ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ใช้เวลากวนประมาณ 2-3 ชม. ดูแป้งข้นเหนียว ยกลงจากเตา ใช้พายไม้เกลี่ยให้เย็นตัว แบ่งส่วนผสมอัดลงพิมพ์ (ทองเอก) เคาะออกจากพิมพ์บนเขียงที่ปูด้วยผ้าข้าวบาง ใช้ทองแปะตรงกลางขนม วางใส่จาน นำไปอบควันเทียนในรังถึง 
เครดิต  

วิธีทำเม็ดขนุน

วิธีทำเม็ดขนุน
ถั่วเขียวกระเทาะเปลือก (ถั่วทอง)  1/2  กิโลกรัม
น้ำตาลทรายสำหรับเติมลงในถั่ว 3 – 4 ขีด
น้ำตาลทรายสำหรับทำน้ำเชื่อม 8 ขีด
ไข่แดงเป็ดหรือไข่แดงไก่ 7-8 ฟอง
กะทิ 1/2 กระป๋อง
1. เมื่อมีถั่วเขียวกระเทาะเปลือกแล้ว ก่อนที่จะทำหนึ่งวันให้เอาถั่วดังกล่าวแช่น้ำทิ้งไว้ค้างคืนเพื่อให้ถั่วอ่อนตัว เช้าขึ้นมาล้างถั่วสักสองน้ำแล้วพักใส่กระชอนเอาไว้
2. นำถั่วที่พักไว้จนสะเด็ดน้ำ ไปนึ่ง ใช้เวลานึ่งประมาณครึ่งช.ม. เมื่อถั่วบานได้ที่ จะนิ่มพร้อมที่จะนำไปกวน
3. เปลี่ยนถ่ายถั่วลงหม้อสำหรับกวนถั่ว เทน้ำตาลลงไปเลย ถั่วครึ่งกิโล ใช้น้ำตาลสักสามขีดหรือสี่ขีด ไม่หวานค่อยเพิ่มทีหลังค่ะ
4. ถั่วกวนจะหวานมัน ต้องเติมกะทิเป็นส่วนผสม ถั่วครึ่งกิโล ใช้กะทิครึ่งกระป๋อง มากไปจะแฉะ
5. ตั้งไฟอ่อนๆอย่าใช้ไฟแรง กวนถั่วไปเรื่อยๆจนถั่วแห้งจับเป็นก้อน
6. ปิดไฟ เปลี่ยนถั่วมาใส่อ่าง เพื่อสะดวกในการนวดถั่วให้เนียน ถั่วยังอุ่นๆอยู่ จะนวดสะดวก แต่อาจจะร้อนไปจะรอให้อุ่นลงหน่อยก็ได้ นวดถั่วด้วยมือให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว
7. เมื่อถั่วเนียนเข้ากันแล้ว แบ่งถั่วกวนเป็นก้อนๆยาวๆ
8. การแบ่งถั่วแบบนี้จะทำให้ปั้นง่ายขึ้น หลังจากนั้นเราก็นำถั่วมาตัดเป็นชิ้นเล็กให้เท่าๆกัน จะได้ปัได้ง่ายและเสมอก
9. หลังจากนั้น หยิบมาหนึ่งชิ้น ใส่กลางฝ่ามือ หมุนไปมาให้ ปั้นให้ลักษณะคล้ายเม็ดขนุน10. ขั้นตอนต่อไป เตรียมน้ำเชื่อม สัดส่วนน้ำเชื่อม อาจจะใช้น้ำตาลเยอะ เพื่อให้ได้น้ำเชื่อมแบบเข้มข้น หาหม้อมาหนึ่งใบ หรือใครมีกระทะทอง ก็นำน้ำตาลทราย เทใส่ลงไปในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟ อ่อนๆ เทน้ำลงไป น้ำตาลทรายสักแปดขีด น้ำสองถ้วย ตั้งไฟอ่อนๆกวนไปเรื่อยๆจนกว่าน้ำเชื่อมจะเข้มข้น ไม่ใส ใช้พายยกขึ้นดู ถ้าน้ำเชื่อมค่อยๆหยดก็ใช้ได้
11. เตรียมไข่แดง ใช้ไข่สักเจ็ดถึงแปดฟอง ต่อถั่วครึ่งกิโล คนไข่ด้วยมือพอเข้ากันอย่าให้เกิดฟอง
12. นำถั่วที่ปั้นแล้วลงไปชุบ
13. ตั้งไฟน้ำเชื่อมให้เดือดร้อนแล้วปิดไฟ หรือเปิดพออุ่นๆ หยิบถั่วที่ชุบไข่แดง ด้วยมือ ยกให้ถั่วสูงๆแล้วหย่อนลงไปเบาๆในหม้อน้ำเชื่อม น้ำเชื่อมต้องนิ่งๆ ไม่มีการเดือด จะได้หุ้มไข่ได้ดี
14. ถ้าต้องการให้ขนมเม็ดขนุนมีสาย คล้ายฝอยทอง ก็ยกลากเส้นไข่ให้ยาวๆในน้ำเชื่อม หยอดไปจนเต็มหม้อน้ำเชื่อม แล้วยกขึ้นตั้งไฟอ่อนๆ พอถั่วสุก หุ้มดีแล้ว ก็ใช้กระชอนตักเม็ดขนุนขึ้นมาวางในถาด
15. ทำจนหมดถั่วที่เตรียมไว้ ถ้าน้ำเชื่อมข้นไปก็เติมน้ำ แล้วกวนให้เข้มเท่าเดิม ถั่วครึ่งกิโล จะได้เม็ดขนุนห้าหกสิบเม็ด ทำขายก็ดีทำแจกก็ภูมิใจ
16. ถั่วเย็นแล้วนำใส่วัสดุสวยๆค่ะ :)
เคล็ดลับ 
– เม็ดขนุนสามารถดัดแปลงเป็นรูปหัวใจ หรือเม็ดเรียวเล็กกว่านี้ก็ได้ ทำเป็นของขวัญของฝาก จัดใส่ภาชนะที่สวยงาม หรือจะทำเป็นอาชีพเสริมก็ดี
– ถ้าไม่มีที่นึ่ง ต้องใช้วิธีต้มให้นิ่ม แต่ต้องคอยดูอย่าให้แฉะ พอนิ่มดีแล้วก็เทน้ำออกให้แห้งสนิท ผึ่งไว้บนกระชอนให้สะเด็ดน้ำ แห้งได้ที่แล้วจึงนำไปกวนกับน้ำตาลและกะทิ

เครดิต อร่อยเหาะดอทคอม ขอขอบคุณสูตรและภาพจาก คุณพนอจัน @ ห้องก้นครัว พันทิป 

วิธีทำขนมจ่ามงกุฎ

วิธีทำขนมจ่ามงกุฎ


    อีกหนึ่งขนมไทยที่ปัจจุบันหาทานได้ยาก เนื่องจากขั้นตอนและการทำที่ใช้เวลานาน โดยส่วนผสมหลักของตัวขนม จะคล้ายๆ ขนมทองเอก
ซึ่งประกอบไปด้วย แป้งสาลี ไข่ไก่ น้ำตาลและกะทิ แล้วตกแต่งด้วยเม็ดแตงโมที่ชุบน้ำตาลโดยรอบให้เป็นรูปมงกุฏในบางครั้งจะมีการประดับ
ทองคำเปลวที่ทานได้ลงไปด้วยในสมัยโบราณจัดเป็นขนมมงคลและนิยมจัดเป็นเครื่องเสวยในราชสำนัก
สูตรขนมจ่ามงกุฎ
ระยะเวลา 6-7 ชม.
ประมาณ 20-25 ชิ้น
ส่วนผสมจ่ามงกุฎ
เม็ดแตง
1. เม็ดแตงโมแกะ
2. น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
3. น้ำ 1/4 ถ้วย
ตัวมงกุฎ (ทองเอก)
4. แป้งสาลี บัวแดง 1/2 ถ้วย
5. ไข่ไก่ (แยกเอาไข่แดง + กะทิ 1/2 ถ้วย คนให้เข้ากัน) 6 ฟอง
6. น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย
7. กะทิ (กะทิกล่อง 3/4 ถ้วย + น้ำ 1 ถ้วย) 1 ถ้วย

ฐานมงกุฎ (กวน)
8. แป้งสาลี 1/2 ถ้วย
9. ไข่ไก่ (แยกไข่แดง) 1 ฟอง
10. น้ำ 1 ช้อนโต๊ะ
11. น้ำเชื่อม (กาว) ถ้วยตะไล

วิธีทำจ่ามงกุฎ
    1. เม็ดแตง
        1.1 น้ำเชื่อม – หม้อใส่น้ำกับน้ำตาล คนเล็กน้อย ตั้งไฟให้เดือดประมาณ 5 นาที (ไม่คน) ใส่ชาม (ที่เอามือจุ่มได้) พักไว้พออุ่น
        1.2 ติดเตาถ่าน 2-3 ก้อน หรือเตาแก๊สต้อง ใช้ไฟอ่อนสุด - กะทะทองใส่เม็ดแตง ตั้งไฟ ใช้มือกวาดไปมา คั่วเม็ดแตงให้สุก
ประมาณ 30 นาที (ถ้าใช้ไฟแรง เม็ดแตงจะพองแตก หรือไหม้ได้)
        1.3 ปลายนิ้วจุ่มในน้ำเชื่อมพอเคลือบนิ้ว (ถ้าน้ำเชื่อมชุ่มไปสะบัดออก เพราะจะทำให้เป็นการเคลือบน้ำตาลเมด็แตง)
กวาดไปมากับเม็ดแตงในกะทะ อีกมือจับกะทะประคองให้ตั้งเอียงไว้ คอยสังเกตดูถ้าเม็ดแตงแห้ง เอามือจุ่มน้ำเชื่อม กวาดเม็ดแตง
ถ้ากระทะร้อนเกินไปจนมือเราทนไม่ได้ กลับกะทะอีกด้าน (เปลี่ยนด้าน และเมื่อก้นกะทะเลอะมีเศษน้ำตาลเกาะ ใช้ผ้าชุ่มน้ำหมาดๆ
เช็ดให้แห้ง เช็ดให้สะอาดทั่วกระทะ เพราะก้นกระทะสะอาด กระทะจะลื่น ทำให้กวาดเม็ดแตงได้) แต่มือก็ยังกวาดไปมาต่อไป
ทำต่อไปเรื่อย ๆ แบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา ใช้เวลากวาดเม็ดแตงจนขึ้นหนามใช้เวลาประมาณ 2 1/2 – 3 ชม. (ถ้านานเกินหนามอาจหักหมด)
เก็บเม็ดแตงใส่ถุงไว้ ส่วนน้ำเชื่อมเก็บไว้เพื่อใช้เป็นกาวในการประกอบขนม
    2. ตัวมงกุฎ (ทองเอก)
        2.1 อ่างใส่แป้งสาลี น้ำตาล กะทิ1/2 ถ้วย (ค่อยๆ ใส่) ใช้พายยางคนให้เข้ากัน ให้น้ำตาลละลาย ใส่ไข่แดงที่ผสมในกะทิ 1/2 ถ้วย
คนให้เข้ากัน กรองด้วยผ้าข้าวบางเทใส่กะทะทอง คนก่อนขึ้นตั้งไฟทุกครั้ง (ส่วนผสมนอนก้น) ใช้ไฟอ่อนที่สุด กวนช้าๆ เป็นวงกลม
พอส่วนผสมเริ่มข้นขึ้น กวนแบบชักขึ้นลงไปมาช้าๆ (ไม่กระชาก เพราะจะทำให้แตกมัน)
        2.2 การกวนขนม – ใช้มือแต่ข้างกะทะทองเพื่อตรวจดูอุณหภูมิ ถ้าร้อนเกินมือจับได้ ยกลงวางบนถาดที่มีผ้าเปียกน้ำ กวนขนมต่อไป
จนรู้สึกว่ากะทะเริ่มเย็นตัวลง ยกขึ้นตั้งไฟใหม่ ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ใช้เวลากวนประมาณ 1 1/2ชม ดูแป้งข้นเหนียว ยกลงจากเตาพักไว้
(แป้งที่เหลือใช้จากการทำจ่ามงกุฎ นำไปอัดในพิมพ์ทองเอกได้ (แป้งเหมือนกัน)
    3. ฐานมงกุฎ - อ่างใส่แป้งสาลี (ไข่แดงที่คนผสมกับน้ำ) ค่อยๆ ใส่ทีละนิด ดูอย่าให้เหลวเกินไป (ถ้าเหลวเติมแป้งเพิ่ม)
นวดเคล้าพอเป็นก้อน คลึงบนไม้กระดานให้เป็นแผ่นหนา 0.1 ซม. ใช้พิมพ์กด วางใส่ในก้นถ้วยตะไล ใช้ไม้จิ้มฟันเจาะให้เป็นรู
นำเข้าอบ (350องศา) ดูให้เหลืองกรอบ
    4. การประกอบขนม - ฐาน (ถาด)ที่อบสุกแล้ว นำเม็ดแตงโมขนาดเท่าๆกัน (ที่กวาดหนามแล้ว) ติดรอบฐานด้วยน้ำเชื่อม
(6-7 เม็ด ถาดเล็ก 8-9เม็ด) ทิ้งให้แห้ง ตัวมงกุฎ (แป้งทองเอกที่กวนไว้) ปั้นเป็นก้อนกลม กะขนาดพอวางบนฐาน ใช้สันมีดคว้านบั้ง
(เหมือนสัญลักษณ์ดอกจันทร์) ทำให้เป็น 6 กลีบ ปั้นแป้งอีกส่วนเป็นวงกลมเล็กติดตรงกลางเป็นยอด (ถ้าไม่ติดใช้น้ำมันทาเล็กน้อย)
ใช้ปลายมีดเขี่ยทองคำเปลว ติดตรงกลางส่วนยอดอีกที วางใส่จาน นำไปอบควันเทียนในรังถึง

วิธีทำขนมถ้วยฟู

วิธีทำขนมถ้วยฟู

ส่วนผสม

1. แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
2. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง

3. น้ำลอยดอกไม้ 1/2 ถ้วยตวง
4. ยีสต์ 1 ช้อนชา
5. ผงฟู 1 ช้อนชา
วิธีทำขนมถ้วยฟู
1. ใส่ยีสต์ลงไปในแป้งข้าวเจ้าให้เข้ากัน ใส่น้ำลอยดอกไม้ทีละช้อน นวดจนแป้งนิ่มเนียน
2. ใส่น้ำตาลและน้ำทั้งหมดลงในแป้ง ใส่ผงฟู นวดต่อไป ปิดฝาครอบไว้ 1-2 ชั่วโมง
3. เรียงถ้วยตะไลลงในรังถึง นึ่งในน้ำเดือดจนถ้วยร้อนประมาณ 5 นาที
4. ตักขนมที่ผสมไว้ลงในถ้วยตะไลพอเต็มปิดฝานึ่งให้สุกประมาณ 10-15 นาที ยกลงพักไว้ให้เย็น แล้วจึงแกะออกจากถ้วย

วิธีทำขนมเสน่ห์จันทร์

 วิธีทำขนมเสน่ห์จันทร์

ขนมหวานไทย : ขนมเสน่ห์จันทร์
       เครื่องปรุง + ส่วนผสม

* แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
* แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วย
* ผงจันทน์เทศป่น 1/2 ช้อนชา
* หัวกะทิ 4 ถ้วย
* ไข่ไก่ 4 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่แดง)* น้ำตาลทราย 2 ถ้วย
* น้ำตาลปี๊บสำหรับทำขั้วผลจันทน์
* เทียนอบขนม
ขนมหวานไทย : ขนมเสน่ห์จันทร์
ขนมหวานไทย : ขนมเสน่ห์จันทร์
      วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว และผงจันทน์เทศป่นเข้า ด้วยกัน
2. นำหัวกะทิและน้ำตาลทรายใส่หม้อ ตั้งบนไฟอ่อน คนจนน้ำตาลละลาย หมด จากนั้นจึงนำไปกรองด้วยผ้าขาวบาง และนำไปผสมกับแป้ง ที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนี่ง
3. นำส่วนผสมที่ได้ ไปตั้งบนไฟอ่อน ค่อยๆกวนจนส่วนผสมข้น จึงยกลง
4. ใส่ไข่แดงทีละฟอง ลงไปในส่วนผสมแป้งน้ำตาลกะทิ คนให้เข้ากัน จากนั้นนำขึ้นไปตั้งบนไฟอ่อนอีกครั้ง กวนต่อจนส่วนผสมจับตัวเหนียว ให้พอปั้นได้ จึงปิดไฟ
5. นำส่วนผสมที่ได้ปั้นเป็นทรงกลม คล้ายผลจันทน์ และตกแต่งจุกด้วย น้ำตาลปี๊บเคี่ยว
6. นำขนมที่ทำเสร็จแล้วไปอบควันเทียน เสร็จแล้วสามารถนำไปทานเป็นของว่างได้ทันที หรือจะเก็บใส่โหลมิดชิดไว้ทานภายหลังก็ได้
หมายเหตุ : ขั้วผลจันทน์ (จุก) สีน้ำตาลทำได้โดยนำน้ำตาลปี๊บไปเคี่ยวจนข้น เสร็จแล้วจึงนำมาหยอด

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ประวัติขนมไทย

ประวัติขนมไทย


ประวัติขนมไทย


             ขนมจัดเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้คำว่าสำรับกับข้าวคาว-หวาน โดยทั่วไปประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ งานมงคลและงานพิธีการ อาหารหวานที่จัดเป็นสำรับจะต้องประกอบด้วย ของหวานอย่างน้อย 5 สิ่ง ซึ่งต้องเลือกให้มีรสชาติ สีสัน ชนิด ตลอดจนลักษณะที่กลมกลืนกัน แต่ละสำรับจะต้องมีผลไม้ 10 ที่ และขนมเป็นน้ำ 1 ที่เสมอ
             ประเทศไทยครั้งยังเป็นสยามประเทศได้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยโดยส่งเสริมการขายสินค้าซึ่งกันและกัน ตลอดจนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านอาหารการกินร่วมไปด้วยต่อมาในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ได้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ อย่างกว้างขวางไทยได้รับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่าง ๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น วัตถุดิบที่หาได้ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนการบริโภคนิสัยแบบไทย ๆ จนทำให้คนรุ่นหลัง ๆ แยกไม่ออกว่าอะไรคือขนมที่เป็นไทยแท้ ๆ และอะไรดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมของชาติอื่น เช่น ขนมที่ใช้ไข่และขนมที่ต้องเข้าเตาอบ ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจากคุณท้าวทองกีบม้าภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น สัญชาติโปรตุเกสของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ผู้เป็นกงศุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น ไทยมิใช่เพียงรับทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองมาเท่านั้น หากยังให้ความสำคัญกับขนมเหล่านี้โดยใช้เป็นขนมมงคลอีกด้วย ส่วนใหญ่ตำรับขนมที่ใส่มักเป็น “ของเทศ” เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยอดจากโปรตุเกส มัสกอดจากสกอตต์ ขนมไทย เป็นเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยอย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดี เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนประณีตในการทำ ตั้งแต่วัตถุดิบ วิธีการทำ ที่กลมกลืน พิถีพิถัน ในเรื่องรสชาติ สีสัน ความสวยงาม กลิ่นหอม รูปลักษณะชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน ขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้น ๆ
            ขนมไทยที่นิยมทำกันทุก ๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่าง ๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้น ๆ งานศิริมงคลต่าง ๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกัน ยืดยาวมีอายุยืน ขนมชั้น ก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู
ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
            ขนมจัดเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้คำว่าสำรับกับข้าวคาว-หวาน โดยทั่วไปประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ งานมงคลและงานพิธีการ อาหารหวานที่จัดเป็นสำรับจะต้องประกอบด้วย ของหวานอย่างน้อย 5 สิ่ง ซึ่งต้องเลือกให้มีรสชาติ สีสัน ชนิด ตลอดจนลักษณะที่กลมกลืนกัน แต่ละสำรับจะต้องมีผลไม้ 10 ที่ และขนมเป็นน้ำ 1 ที่เสมอ
            ขนมไทย เป็นของหวานที่ทำและรับประทานกันในอาณาจักรไทย มีเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยคือ มีความละเอียดอ่อนประณีตในการเลือกสรรวัตถุดิบ วิธีการทำ ที่พิถีพิถัน รสชาติอร่อยหอมหวาน สีสันสวยงาม รูปลักษณ์ชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทานที่ปราณีตบรรจงของขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้นๆ
            ขนมไทยที่นิยมทำกันทุกๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ งานศิริมงคลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาว มีอายุยืน ขนมชั้นก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
             ของหวานไทยหรือขนมไทย กล่าวได้ว่ามีอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน เพราะเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า คนไทยเป็นคนมีลักษณนิสัย อย่างไร เนื่องด้วยขนมไทยแต่ละชนิด ล้วนมีเสน่ห์มี รสชาติ ที่แตกต่างกันออกไป แต่แฝงไปด้วยความละเมียดละไม ความวิจิตรบรรจง อยู่ในรูปลักษณ์ กลิ่น รสของขนมที่สำคัญ ขนมไทยแสดงให้เห็นว่าเป็นคนใจเย็น รักสงบ มีฝีมือเชิงศิลปะ ขนมธรรมดาๆ ทำด้วยแป้ง น้ำตาล มะพร้าว เป็นส่วนประกอบ สำคัญ สามารถดัดแปลงเป็นขนมหลายชนิด หน้าตา แตกต่างกัน
               ในสมัยโบราณคนไทยจะทำขนมเฉพาะวาระสำคัญเท่านั้น เป็นต้นว่างานทำบุญ เทศกาลสำคัญ หรือต้อนรับแขกสำคัญ เพราะขนมบางชนิดจำเป็นต้องใช้กำลังคนอาศัยเวลาในการทำพอสมควร ส่วนใหญ่เป็น ขนมประเพณี เป็นต้นว่า ขนมงาน เนื่องในงานแต่งงาน ขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมครก ขนมถ้วย ฯลฯ พวกนี้มีเห็นทั่วไป ส่วนขนมในรั้วในวังจะมีหน้าตาจุ๋มจิ๋ม ประณีตวิจิตรบรรจงในการจัดวางรูปทรงขนมสวยงาม
ขนมไทย อาจแบ่งได้เป็น 4 หมวดดังนี้
  • ขนมชาววัง เช่น ขนมเบื้อง วุ้นกระทิ วุ้นสังขยา วุ้นใบเตย ขนมไข่เหี้ย ขนมลูกชุบ ขนมหม้อตาล
  • ขนมตามฤดูกาล หรือ ขนมชาวบ้าน เช่น ลูกตาลเชื่อม ฟักทองเชื่อม มันเชื่อม มะขามแช่อิ่ม ถั่วเขียวต้มน้ำตาล ข้าวตัง ขนมลืมกลืน ข้าวเม่าบด ขนมกรวย ขนมขี้หนู ขนมน้ำดอกไม้ เป็นต้น
  • ขนมในศาสนา และ ประเพณี เช่น ขนมใส่ไส้ ขนมเทียน ขนมสามงาน ขนมโพรงแสม ขนมเสน่ห์จันทร์ ขนมรังนก ลอดช่อง ข้าวเม่า ขนมถ้วยฟู ขนมปลากริมไข่เต่า ขนมบัวลอย ขนมหูช้าง ขนมคันหลาว นางเล็ด เป็นต้น
  • ขนมจากต่างประเทศ เช่น ขนมฝรั่ง ทองม้วน ขนมสัมปันนี ขนมทองเอก ขนมทองโปร่ง ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน ทองหยิบ สังขยาเผือก
            ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยคือ มีความละเอียดอ่อนประณีตในการเลือกสรรวัตถุดิบ วิธีการทำ ที่พิถีพิถัน   รสชาติอร่อยหอมหวาน สีสันสวยงาม รูปลักษณ์ชวนรับประทาน   ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทานที่ปราณีตบรรจงของขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้นๆ
            ขนมไทยที่นิยมทำกันทุกๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ งานศิริมงคลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด   หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง   เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาว มีอายุยืน ขนมชั้นก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
             ของหวานไทยหรือขนมไทย กล่าวได้ว่ามีอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน เพราะเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า คนไทยเป็นคนมีลักษณนิสัย อย่างไร เนื่องด้วยขนมไทยแต่ละชนิด ล้วนมีเสน่ห์มี รสชาติ ที่แตกต่างกันออกไป   แต่แฝงไปด้วยความละเมียดละไม ความวิจิตรบรรจง อยู่ในรูปลักษณ์ กลิ่น รสของขนมที่สำคัญ   ขนมไทยแสดงให้เห็นว่าเป็นคนใจเย็น รักสงบ มีฝีมือเชิงศิลปะ ขนมธรรมดาๆ ทำด้วยแป้ง น้ำตาล มะพร้าว   เป็นส่วนประกอบ สำคัญ สามารถดัดแปลงเป็นขนมหลายชนิด หน้าตา แตกต่างกัน
              ในสมัยโบราณคนไทยจะทำขนมเฉพาะวาระสำคัญเท่านั้น เป็นต้นว่างานทำบุญ เทศกาลสำคัญ หรือต้อนรับแขกสำคัญ เพราะขนมบางชนิดจำเป็นต้องใช้กำลังคนอาศัยเวลาในการทำพอสมควร